ทำไมต้องไพธอน
1. ง่ายต่อการเรียนรู้
ไพธอนเป็นภาษาโปรแกรมระดับสูง (High-level programming) มีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ทำให้ง่ายต่อการเรียนรู้เมื่อเปรียบเทียบกับภาษาโปรแกรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยประถมหรือผู้ใหญ่วัยทำงานก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้ ข้อดีดังกล่าวทำให้เราเน้นความสนใจไปกับการแก้ปัญหาจริงๆ มากขึ้น และช่วยลดเวลาสำหรับการตรวจสอบโครงสร้างและสัญลักษณต่างๆ ของภาษาให้น้อยลง ดังนั้นการเลือกภาษาไพธอนเป็นภาษาแรก จะทำให้ผู้ที่เริ่มต้นศึกษาการเขียนโปรแกรมสามารถใช้เวลาตั้งแต่การเรียนรู้ไปจนถึงการเขียนโปรแกรมเพื่อใช้งานจริงในระยะเวลาที่เร็วขึ้นได้
2. นำไปใช้งานจริงได้
นอกจากไพธอนจะเป็นภาษาโปรแกรมที่นำมาใช้เพื่อศึกษาการเขียนโปรแกรมแล้ว แต่เราก็สามารถนำไปใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพได้ ทำให้บริษัทและองค์กรใหญ่ระดับโลก เช่น Google, Facebook, YouTube, Netflix, Dropbox, Agoda และ NASA เลือกที่จะนำภาษาไพธอนมาใช้ในการพัฒนาเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ โดยมีผู้ใช้งานจริงหลายล้านคนทั่วโลก
3. มีไลบรารีครอบคลุมการใช้งานต่าง ๆ
เนื่องจากภาษาโปรแกรมไพธอนสามารถนำไปพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อตอบสนองความต้องการในงานทางด้านต่างๆ ได้ ทำให้มีนักพัฒนาจำนวนมากต้องการแบ่งปันผลงานร่วมกับนักพัฒนาคนอื่นๆ เพื่อให้ภาษาไพธอนมีความสามารถมากขึ้น โดยมี Python Package Index (PyPI) ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมโมดูลและไลบรารีครอบคลุมการใช้งานทางด้านต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ข้อมูล พัฒนาเว็บไซต์ ระบบคอมพิวเตอร์ฝังตัว ระบบเครือข่าย และอื่นๆ อีกมากมาย โดยสามารถเข้าไปค้นหาและดาวน์โหลดโมดูลที่ต้องการได้ที่ https://pypi.org/ หลังจากนั้นก็สามารถนำมาใช้งานในโปรแกรมของเราได้ทันที ภาษาไพธอนมีไลบรารีสำหรับงานทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล
4. งานทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล
ในปัจจุบันงานทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Science) ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากบนอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา และมีปริมาณข้อมูลระดับมหาศาล (Big Data) ดังนั้นหากเรานำข้อมูลเหล่านี้มาทำวิเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ทางด้านธุรกิจหรือด้านอื่นๆ จะทำให้องค์กรสามารถสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งได้ สำหรับภาษาโปรแกรมไพธอนมีไลบรารีที่ครอบคลุมการทำงานทางด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่มีคุณภาพ เป็นที่นิยม และพร้อมใช้งานอยู่จำนวนมาก โดยสามารถแสดงข้อมูลดังตารางด้านล่างนี้
5. เขียนโปรแกรมได้หลายกระบวนทัศน์ (Multi-paradigms programming)
กระบวนทัศน์การเขียนโปรแกรม (Programming Paradigm) คือแนวคิดหรือสไตล์ในการเขียนโปรแกรม โดยภาษาไพธอนสนับสนุนการเขียนโปรแกรมได้หลายกระบวนทัศน์ เช่น 1) Imperative programming 2) Event driving programming 3) Object Oriented Programming (OOP) และ 4) Functional programming เป็นต้น ทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเขียนโปรแกรมในรูปแบบที่เหมาะสมกับงานประเภทต่างๆ ได้
6. มีชุมชนนักพัฒนาที่แข็งแกร่ง
ในปัจจุบันภาษาไพธอนได้รับความนิยมสูงอย่างต่อนื่อง ไพธอนมีชุมชนนักพัฒนาจำนวนมาก นอกจากนั้นการเขียนโปรแกรมไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในแวดวงของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ (Computer Science) เท่านั้น แต่ผู้ที่ทำงานสาขาอื่นก็อาจมีความต้องการจะนำไปใช้ประโยชน์ในงานทางด้านอื่นๆ ด้วย ทำให้มีชุมชนนักพัฒนาที่ใช้งานภาษาไพธอนเกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก หากต้องการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ก็มีเนื้อหาที่มีคุณภาพในรูปแบบต่างๆ เช่น วิดีโอ หนังสือ บทความ และเอกสารบนอินเทอร์เน็ตให้ค้นคว้าเพิ่มเติมได้ ถ้าหากติดปัญหาใดๆ ก็สามารถค้นหาวิธีการแก้ปัญหาของคนที่เคยพบปัญหามาก่อน หรืออาจจะขอความช่วยเหลือจากสังคมนักพัฒนาที่ชอบแบ่งปันข้อมูลความรู้ระหว่างกันและกันบนอินเทอร์เน็ต เช่น Stack Overflow และ Quora
7. ทำงานได้หลายแพลตฟอร์ม
แม้ว่าในช่วงแรกภาษาไพธอนได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Unix เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามได้มีการพัฒนาให้สามารถนำไปใช้งานได้หลายระบบปฏิบัติการอื่นๆ ได้ด้วย เช่น Windows Mac และ Linux ดังนั้นนักพัฒนาสามารถเขียนโปรแกรมเพียงครั้งเดียว แต่สามารถนำไปใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ ทำให้ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา ทดสอบ และบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ให้สามารถใช้งานเป็นปกติได้ทุกระบบปฏิบัติการ นักพัฒนาภาษาไพธอนมีรายได้ดีและเป็นที่ต้องการขององค์กรต่างๆ 8.รายได้ดีและเป็นที่ต้องการขององค์กรต่างๆ นักพัฒนาโปรแกรมด้วยภาษาไพธอนเป็นที่ต้องการในสายงานทางด้านพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างมาก โดยข้อมูลล่าสุดของเว็บไซต์ https://indeed.com (ข้อมูลเดือนตุลาคม ปี 2018) ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีอัตราการจ้างงานนักพัฒนาด้วยภาษาไพธอนจำนวนมาก โดยมีรายได้เฉลี่ยสูงถึงประมาณ $120,432 เหรียญ/ปี ดังนั้นผู้ที่เขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพธอนได้ ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเอง และมีโอกาสในการทำงานกับองค์กรทุกระดับได้
8. สามารถนำไปใช้งานได้ฟรี
ภาษาไพธอนยังเป็นซอฟต์แวร์ประเภทโอเพนซอร์ส (Opensource) หมายความว่าเราสามารถนำซอร์สโค้ด (Source code) มาดัดแปลง แก้ไขได้ทั้งหมด โดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต และที่สำคัญเราสามารถนำไปใช้งานได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่องค่าลิขสิทธิ์ใดๆ